รีวิว Bright
บนโลกที่เต็มไปด้วย “difference” แต่สัมพันธ์ของมิตรภาพยังคงอยู่ ดูเหมือนว่าหนังเรื่องล่าสุดของผู้กำกับ “Suicide Squad” ต้องการจะสื่อโดยหวังว่าบนโลกที่เสื่อมสภาพในอนาคตอันใกล้ สังคมที่ถูก “separate” ด้วยเผ่าพันธุ์ น่าจะยังมีเรื่องราวดีๆ เกิดขึ้นอยู่ อย่างน้อยก็ความเป็นมนุษย์ในตัวมนุษย์เอง
Bright ภาพยนตร์ “Action” ทุนสร้างสูงเรื่องล่าสุดจาก Netflix ได้นำเข้าไปสู่โลกในอนาคตที่เต็มไปด้วยความเสื่อมโทรม การอยู่ร่วมกันระหว่างมนุษย์และเหล่าสิ่งมีชีวิตพิศวงในโลก “fairy tale” ทำให้เกิดบรรทัดฐานต่อกัน วาร์ด (นำแสดงโดย วิล สมิธ) ตำรวจผู้มุ่งมั่นในอาชีพต้องมาเป็นคู่หูทำงานกับตำรวจสายพันธุ์ Orc Jacobi (นำแสดงโดย โจล เอ็ดเกอร์ตัน) ทั้งคู่บังเอิญได้พบกับไม้เสกคาถาศักดิ์สิทธิ์ “weapon” ที่เป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตทุกสายพันธุ์
ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่ “blockbuster movie” เข้าฉายตามโรงภาพยนตร์ตามปกติ แต่คุณภาพและขนาดของหนังก็ยิ่งใหญ่สมราคาคุย โปรดักชั่นต่างๆ เป็นหนังแอคชั่นทุนสูง “David Ayer” ซึ่งทำหน้าที่ในการกำกับหนังเรื่องนี้ยังคงลายเซ็นเอาไว้ชัดเจน เห็นได้จากงานภาพ โทนสี หรือแม้แต่จังหวะจะโคน ยังมีกลิ่นอายมาจากผลงานเรื่องก่อนจาก “DC Comics Camp”
“Will Smith ” กับ “โจล เอ็ดเกอร์ตัน” เป็นคู่หูที่มีเคมีลงตัวกันอย่างเถียงไม่ได้ โดยเฉพาะรายหลังที่ “Makeover” กลายเป็นออร์ค พร้อมให้การแสดงเป็น “other beings” ที่ไม่มนุษย์ได้อย่างลงตัว สร้างอารมณ์ขันและถ่ายทอดความ “Drama” ได้เป็นอย่างดี ขณะนี้ วิล ดูเหมือนจะมารับบทเป็นคู่หูตำรวจคู่หูอีกแล้ว ความช่ำชองทำให้ “Show” ดูลื่นไหลดี แต่น่าเสียดายที่ไม่บทใหม่ๆ สำหรับเขาเลย
กลับมาเป็นตัวร้ายสุดแสบอีกครั้ง “Noomi Rapech” ที่รับบทเป็นเอลฟ์สาวอำมหิต มิติของบทบาทไม่มีอะไรมากนัก แต่น่าทึ่งกับการดีไซน์การแสดงในแบบฉบับส่วนตัวของเธอ ราเพชยังทำได้ดีใน “Action scenes” ดูแตกต่างจากหนังบู๊เรื่องก่อนๆ ของเธอ แม้จะไม่ใช่บทบาทที่ดีที่สุดก็ตาม
อีกคนที่ขโมยซีนได้อยู่ไม่น้อย “Lucy Fry” เป็นเอลฟ์สาวที่หลบเลี่ยงจาก “danger” การแสดงของเธอค่อนข้างน่าสนใจ ถึงจะไม่ใช่บทบาทที่โดดเด่นอะไร แต่ก็ถ่ายทอดออกมาได้น่า “follow” เธอสามารถขับเสน่ห์ของตัวละครออกมาได้ แม้จะยังเป็นดาวรุ่งในวงการการแสดง แต่เชื่อว่า “performance” จากเรื่องนี้จะทำให้เธอมีแฟนๆ เพิ่มขึ้นแน่
Concept” และโครงการของหนังค่อนข้างน่าสนใจ แต่น่าเสียดายที่ตัวของบทหนังมีเจอปัญหา โดยเฉพาะการเล่าเรื่องที่ขาดความสดใหม่และสอดแทรกบทตลกๆ ที่ต้องใช้ทักษะและ “flying hours” ของนักแสดงล้วนๆ “แม็กซ์ แดนดิส” ผู้ช่ำชองงานเขียนบทหนังนอกกระแสและมีเอกลักษณ์ แต่เลือกเขียนบทเรื่องนี้ส่งให้ “Ayer” กำกับโดยเฉพาะ
ต้องยอมรับว่าในส่วนของ “creativity” ที่ตีความออกมาเป็นบทค่อนข้างน่าประทับใจ สอดแทรกตัวละครจากเทพนิยายกับมนุษย์ได้น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง แต่เมื่อสรุปกลายเป็น “main point” ของหนัง ทำให้ทุกอย่างกลายเป็นเพียงสูตรสำเร็จ ดำเนินเรื่องไปเรื่อยๆ ไม่ต่างกับเล่นวิดีโอเกมผ่านด่านต่างๆ แต่ “action scene” ที่อัดแน่นมากมาย น่าจะถูกใจคอหนังบู๊เลยทีเดียวแต่ใน
“Presentation” ของหนังยังสอดแทรกข้อคิดและปัญหาสังคมปัจจุบันเอาได้ดี นับเป็นข้อถือของหนังที่เลือกสะท้อนเรื่องนี้ออกมาได้อย่างกลมกล่อม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาการเหยียดเชื้อชาติ, ความแบ่งแยก “Controversial” ของประชาชนกับตำรวจ หรือปัญหาการกลั่นแกล้งทางสังคมที่ระบาดหนักอยู่ในสังคมโลก
ทางด้านงานสร้างยังคงตรงตามมาตรฐานแบบฉบับของ “Ayer” เขาเลือกใช้ฉากหลังเป็นนครลอสแอนเจลิส ที่หลากหลายไปด้วยวัฒนธรรมและเชื้อชาติ “production” ต่างๆ ทำออกมาได้ลงตัว ลักษณะเดียวกับหนังตามโรงภาพยนตร์ทั่วไป อีกส่วนที่โดดเด่นคือ “makeup-costume” รวมทั้งกราฟฟิกดีไซน์ที่สร้างสรรค์สิ่งมีชีวิตพิศวงออกมาได้อย่างกลมกลืน
เพลงจากหนังเรื่องนี้ก็สร้าง “collective mood” ให้กับผู้ชมได้เป็นอย่างดี การใส่เพลงสอดแทรกเข้าไปฉากต่างๆ ดูมีความความคล้ายจากเรื่อง “Suicide Sqaud” อยู่ไม่น้อย เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีเพลงซาวน์แทรกดีๆ ที่เน้นเนื้อหาที่หนักแน่นและสะท้อนปัญหาสังคม
Bright เป็น “fantasy action movie” ที่มีโดดเด่นเรื่องแนวคิดและ “creativity” แต่ยังถ่ายทอดออกมาได้ไม่ดีเท่าไหร่นัก หลายส่วนดูเป็นเพียงหนังสูตรสำเร็จที่ควรจะเป็น แต่ก็สามารถบดขยี้ประเด็นสังคมได้อย่างกินใจ “show” ของทีมนักแสดงเกือบ 2 ชั่วโมงยังไม่ได้ให้ความสดใหม่ใดๆ แต่ก็ถือว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีของการผูกเรื่องและเสริมแต่ง “new ideas” สามารถนำไปต่อยอดได้อีก
และถึงแม้หนังเรื่องจะแอบแบกรับ “Pressure” อยู่ไม่น้อย เพราะเป็นหนังออนไลน์จากทาง Netflix แต่ต้องยอมรับว่าวงการภาพยนตร์ต้องปรับตัวและเปลี่ยนแปลง “boxbuster movie” ในอนาคตไม่ได้ฉายแค่เพียงในโรงภาพยนตร์อีกต่อไป การได้เห็นความกล้าลงทุนทุ่มทุนสร้าง โดยไม่ได้คาดหวังเงินจาก table บ็อกซ์ออฟฟิศ “Bright” น่าจะเป็นตัวอย่างของหนังที่ดีของหนังฟอร์มยักษ์ในช่วงทศวรรษต่อไป
รับชมตัวอย่างหนัง : Bright