รีวิว Interceptor : Die Hard

หนังเปิดเรื่องและเดินเรื่องอย่างรวดเร็วฉับไว หลังแนะนำตัวนางเอก “strong woman” ของเรื่องได้ไม่ทันไร กลุ่มคนร้ายก็เปิดตัทันที กำลังจะเริ่มแผนการบุกเข้ายึดห้องควบคุม พอดีที่ “Collins” แก้ไขสถานการณ์ได้ทัน รีบขังตัวเองและเจ้าหน้าที่อีก 2 นายไว้ในห้องควบคุม

ทางกองทัพสหรัฐฯ ทราบเรื่องก็รีบส่ง “Sealing unit” มาสมทบ แต่ต้องใช้เวลาเดิน+ ทางมายัง SBX-1 ถึง 90 นาที จึงเป็นภาระหน้าที่ของ “Collins” ที่ต้องยับยั้งการบุกรุกของกลุ่มผู้ก่อการร้ายไว้ไม่ให้บุกเข้ามาได้ก่อนที่หน่วยซีลจะมาถึง

ซึ่งระหว่างนี้ “Alexander Kessel” หัวหน้าทีมก่อการร้ายก็พยายามหาทางบีบบังคับให้คอลลินส์ยอมเปิดประตู ทั้งจับตัวประกันขู่ฆ่า ทั้งเสนอเงินรางวัลก้อนโต ขณะเดียวกันก็ส่งลูกสมุนให้บุกเข้าห้องมา “channel” นั้น ช่องทางนี้ ทำให้หนังได้สอดแทรกฉากต่อสู้เป็นระยะ ๆ

Intercepto

ไม่รู้ว่าฝ่ายก่อการร้ายมีอยู่กี่คนกัน เห็นโผล่มาให้ “heroine” จัดการทีละคน ทีละคน ไปเรื่อย ๆ ก็เห็นได้ชันว่าหนังเน้นขายฉากต่อสู้เป็นหลัก มีการออกแบบฉากต่อสู้ที่ผ่านกระบวนการคิด “plan” ให้ใช้ทั้งอาวุธ มือเปล่า และข้าวของรอบตัว แต่ก็มองเห็นได้ชัดว่าเล่นกันตามคิว ซึ่งในวันนี้วิทยาการงานสตันท์ในวงการหนังฮ่องกงได้ถ่ายทอดไปถึง “Hollywood” แล้ว ฉากต่อสู้ในหนังช่วงหลัง ๆ

จึงออกมาสมจริงหนักหน่วงกันอย่างมาก พอเรื่องไหนทำได้ไม่ถึง จึงเห็นได้ชัด อย่างใน “Interceptor” นี่ก็เช่นกัน ที่น่ารำคาญมากก็คือ “music” ประกอบซึ่งพยายามบิลท์เหลือเกิน ดังและล้ำหน้าความตื่นเต้นของภาพในฉากนั้น ๆ ไปมาก ดูแล้วไม่เข้ากัน คุณภาพอย่างกับ “drama” หัวค่ำบ้านเรา ที่มักขโมยดนตรีประกอบต่างชาติมาใส่แบบเวอร์วัง

Intercepto

จะว่าไป Interceptor ก็มาในสูตรสำเร็จของ “Hollywood action movie” นะ กับการเขียนให้พระเอกจำเป็นไปอยู่ผิดที่ผิดเวลาในสถานที่ปิดล้อม แล้วก็เป็นสูตรที่มักจะ “successful” เสียด้วย อย่างเช่นใน Die hard 1, Die Hard 2, Sudden Death, Under Siege 2: Dark Territory แต่ที่สำคัญหนังจะต้องมีบทที่ดี และผู้กำกับที่มี “experience”

แต่กับ Interceptor ไม่มีทั้งสองอย่าง หนังน่าจะเป็นปรากฏการณ์ใหม่ของวงการ “Movies” เลยล่ะครับ ที่ผู้กำกับมาจากนักเขียนนิยาย แมทธิว ไรลีย์ (Matthew Reilly) เป็นนักเขียนนิยายแนวแอ็กชัน “Australian” ที่มีผลงานตีพิมพ์มาแล้วหลายสิบเล่ม เนื้อหาของเขามักจะมาแนวอย่างที่ว่านี่แหละ พระเอกของเรื่องมักจะไปอยู่ผิดที่ผิดเวลา ต้องกลายเป็น “hero” จำเป็น

Intercepto

โดยปกติแล้ว หนังเรื่องไหนที่ได้เจ้าของเรื่องมามาเขียนบท “Movies” เอง มักจะออกมาดี คือถ่ายทอดเนื้อหาสาระจากงานเขียนมาได้ครบถ้วน แต่คงต้องยกเว้น “Matthew Riley” ผู้นี้ไว้แล้วล่ะ เพราะตัวละครนำทั้งสองฝั่งอย่าง เจ.เจ. คอลลินส์ และ อเล็กซานเดอร์ เคสเซิล นั้นช่างแบนราบ มีการพูดถึงอดีตของ “Collins” พอสมควร ว่าเธอเคยมีเรื่องราวอื้อฉาวในกองทัพ เป็นปมในใจ แต่นี่คือ “action movie” แบบจริงจัง

ซึ่งหนังเลือกที่จะโชว์ฉากพะบู๊ของเธอมากกว่า แต่หนังก็ไม่ได้กล่าวเลยว่าเหตุใดคอลลินส์ถึงเก่งกาจขนาดนี้ “Specialize” ทั้งการต่อสู้มือเปล่า และอาวุธทุกรูปแบบ ขนาดที่ว่าสามารถ คู่ต่อสู้ที่เป็นผู้ชายบึกบึนได้หมดทุกราย ส่วนเคสเซิลหัวหน้ากลุ่มก่อการร้ายที่ข้อมูลเบื้องหลังบอกว่า ได้แรงบันดาลใจมาจาก “Hans Gruber”

Intercepto

จาก Die Hard วายร้ายอันดับต้น ๆ ของภาพยนตร์ “Hollywood” บทแจ้งเกิดของ อลัน ริคแมน ผู้ล่วงลับ แต่เคสเซิลถ่ายทอดไม่ได้แม้เพียงเสี้ยวของกรูเบอร์เลย “Kessel” ไม่มีทั้งไหวพริบ เล่ห์เหลี่ยม และที่สำคัญ ลุค เบรซีย์ (Luke Bracey) ก็ไม่สามารถถ่ายทอดรังสีอำมหิตอย่างที่ “Villain”

ควรจะมีให้รู้สึกได้ ขนาดลูกน้องยังกล้าต่อปากต่อคำไร้ซึ่งความยำเกรงเลย รวมไปถึงเหตุผลที่เขาลุกขึ้นมาปฏิบัติการระทึกโลกเช่นนี้ก็ไม่ชัดเจน และทำไปเพื่อเป้าหมายอันใด

เชื่อแน่ว่าถ้า “Matthew Riley” คงสถานะตัวเองไว้แค่บทภาพยนตร์ แล้วปล่อยให้ผู้กำกับมืออาชีพมีประสบการณ์มาทำหน้าที่ หนังจะออกมาสนุกกว่านี้แน่นอน เพราะพล็อตเรื่องปูมา “Interesting” แล้ว เลือกหยิบแง่มุมที่ไม่เคยเห็นมาก่อนมาเล่า แล้วถ้าหนังสามารถสร้างภาพลักษณ์ของตัวร้ายให้ดุ “scary” กว่านี้หนังจะระทึกเข้มข้นอีกมากมาย

Intercepto

“Interceptor” เรื่องนี้อาจกล่าวได้ว่าเป็นหนัง “nationality” ออสเตรเลียก็ไม่ผิด เพราะนักแสดงก็เป็นออสเตรเลียล้วน ๆ ผู้กำกับ เขียนบท ก็ออสเตรเลีย แถมหนังก็ยังถ่ายทำกันใน “Australia” ใช้นักแสดงหลักไม่ถึง 10 คน ฉากส่วนใหญ่ก็เป็นฉากภายในห้องบังคับการ ใช้ทุนสร้างไม่เกิน 15 ล้าน ถ้าไม่มีหน้า คริส เฮมส์เวิร์ธ โผล่มา “Interceptor” ก็คือหนังเกรดบีเรื่องหนึ่ง ถ้าเป็นยุคก่อนก็คือหนังที่สร้างลงดีวีดีนั่นแหละ

หนังยังคงสูตรสำเร็จของ “action movie” ด้วยการเล่นกับวินาที “narrowly” แบบเสี้ยววินาที ก็พอได้ลุ้นหน่อยนึง เพราะเราก็รู้กันอยู่แล้วล่ะว่ายังไงก็ทัน หนังพอให้ความบันเทิงได้ ไม่ถึงกับเสียเวลาดู แต่ขณะเดียวกันก็ไม่มีอะไร “Exotic” เส้นเรื่องคาดเดาได้หมด ดูไปทำนู่นทำนี่ไปได้ เดินไปหยิบขนม เข้าห้องน้ำ กลับมาดูต่อก็รู้เรื่อง

รับชมตัวอย่างหนัง : Interceptor : Die Hard

เว็บรีวิวหนัง

ดูอนิเมะบนมือถือ

สามารถติดตามข่าวสารวงการภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของพวกเรา :FlowtheFlim