รีวิวScream 5

Scream 2022 (ภาค 5) การกลับมาของหนังไล่เชือดฆาตกร “ghost mask” ที่คนดูหนังคุ้นเคยกันอย่างดี แต่มาคราวนี้เป็นการสร้างเพื่อหวนคืนกลับสู่ความเป็นออริจินอล เพื่อต่อยอดนำ franchise” นี้กลับมาสร้างต่อได้อีกครั้ง หลังจากห่างหายไปกว่า 10 ปี

หนังไล่เชือดที่ห่างหายจาก Part 4″ มา 10 ปี ซึ่งภาคนี้ก็ทำในช่วงครบรอบ 10 ปีแบบเหตุการณ์ในเรื่องที่ผ่านๆ มามักกินเวลาห่างกัน 10 ปี ก็จะมีฆาตกรโรคจิตใส่หน้ากากผีมาไล่ฆ่าคนในเมือง “Woodsboro” ซึ่งแฟนๆ หนังชุดนี้คงจำเรื่องราวได้ดีอยู่แม้จะห่างมานับสืบปีแล้วก็ตาม ซึ่งสาเหตุที่หยุดไปหลักๆ ก็คงเป็นเรื่องบท 

“start” คะแนนวิจารณ์ในแต่ละภาคต่ำกว่าภาคแรกมากมาย จนถ้าทำต่อไปก็คงกลายเป็นแฟรนไชนส์ “horror” เรื่องอื่นๆ ที่เอากลับมาแล้วดับสนิทตอกฝาโลงมากกว่าจะเป็นการฟื้นคืนชีวิต ในภาคนี้ทางผู้สร้างก็เลยไม่ใช้เลข 5 เป็น  “sequel” แต่ใช้ชื่อ  “Scream” แบบภาคแรกกันตรงๆ ซึ่งก็เหมือนเป็นการท้าทายไปยังแฟนๆ ให้มาพิสูจน์ว่าแฟรนไชนส์หนังสืบสวน Slaughter” เรื่องนี้ยังมีดีพอที่จะกลับมาได้อีกครั้งจริงหรือไม่ ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เหมือนเป็นการหวนคืนกลับมาของ  “Scream” ที่ดีสุดรองจากภาคแรกเลยทีเดียว

Scream5

เกิดคดีฆาตกรรมแบบเดิมขึ้นอีกครั้งในเมือง “Woodsboro” ทำให้ “แซม คาร์เพนเตอร์” ตัวเอกในภาคใหม่ต้องกลับเมืองนี้อีกครั้งหลัง เพราะเรื่องราวนี้มีความเกี่ยวข้องกับความลับของ  “your family” แต่ทางตำรวจกลับช่วยเหลืออะไรเธอไม่ได้มาก ทำให้เธอต้องไปหา “Dewey” อดีตนายอำเภอที่ผ่านเหตุการณ์สยองขวัญนี้มาตลอด เพื่อหวังว่าเขาจะใช้ประสบการณ์ที่ผ่านมาช่วยเธอตามล่า  “new  killer” ครั้งนี้ได้

หนังเปิดเรื่องโดยใช้ฉากหญิงสาวรับ  “Telephone” ในบ้านคนเดียวเหมือนภาคแรก ก่อนที่จะเจอกับเกมทายปัญหาจากหนัง “สแต็ป”  ซึ่งก็เหมือนเป็นการเล่นกับแฟนๆ สครีมไปด้วยพร้อมกัน ก่อนที่จะเกิดฉาก  “Chase” ในบ้านที่อัพเกรดอุปกรณ์ให้ทันสมัยขึ้นตามยุค พร้อมจบด้วยฉากฆาตกรรมตาม  “original formula” แต่แค่ฉากเปิดตัวก็ทำให้เราได้เห็นแล้วว่าเป็นงานที่ยึดโยงแบบไม่ใช่ลอก แต่เป็นการ  “Reverence” งานต้นตำหรับพร้อมกับใส่สิ่งใหม่ๆ ลงไปในตัว ซึ่งเรื่องราวในเรื่องจะมีอ้างอิงสิ่งต่างๆ จากภาคแรกมาหลายอย่างมากมาย ทั้งตัวละครเดิมที่คนไม่คิดว่าจะกลับมาได้ก็  “return” ฉากสถานที่เกิดเหตุในภาคแรกก็กลับมา

Scream5

เรื่องราวของฆาตกรก็เกี่ยวพันกับ “Character” ในภาคแรกโดยตรง ซึ่งแม้จะเป็นการเขียนเรื่องงอกมาภายหลัง แต่ก็มีเหตุผลพอทำให้ผู้ชมเชื่อถือได้ ซึ่งเป็น “strengths” ของสครีมที่ต่างออกไปจากพวกแนวไล่เชือดเรื่องอื่นๆ (อย่าง เจสัน) เพราะฆาตกรใน “Scream” ต้องมีเหตุผลแรงจูงใจที่น่าเชื่อถือพอกับการลุกมาใส่หน้ากากผีย้อนรอย “original case” ในทุกภาคให้ได้ ซึ่งเป็นโจทย์หลักที่ยากสุดของเรื่องนี้เลยก็ว่าได้ ซึ่งภาคนี้ก็ทำส่วนนี้ออกมาได้ดี แบบดีกว่าภาคอื่นๆ

อย่างชัดเจน “Assassin” ในภาคนี้มีความแตกต่างทั้งการลงมือและแรงจูงใจ โดยเฉพาะการอิงเรื่องราวจากภาคแรกมาเป็นเบสในการทำสิ่งต่างๆ ในเรื่องตั้งแต่แรกไปจนจบ เหมือนผู้ชมได้ย้อนรอยดูสครีมภาคแรกในอีก “Version” ที่ต่างออกไป มีความทันสมัยกว่าหน่อยๆ แต่ก็ยังคงกลิ่นอายรูปแบบ “slaughter scene” จากภาคแรกทำให้แฟนๆ ที่ยังจดจำภาคแรกได้น่าจะชอบภาคนี้ได้ไม่ยากแน่นอน

Scream5

ตัวหนังยังยึดเอากฎของ “Scream” มาเป็นหลักใน “playing” เรื่องนี้เหมือนภาคแรกมากๆ ด้วย ซึ่งจริงๆ มันก็เป็นกฎจากการล้อพวกหนังสยองขวัญตลอดมา อย่าง การไปไหนคนเดียวมักเจอจุดจบ ถ้าพูดเดี๋ยวกลับมานั่นคือ “character” นั้นต้องตาย ซึ่งคนดูใครๆ ก็รู้ แต่ตัวละครในหนังมักทำอย่างนั้นอยู่ดีเหมือน “stupid chapter” ไม่สมเหตุผลที่ต้องใส่ไว้เพื่อให้เกิดฉากสยองขวัญประกอบเรื่องเท่านั้น

แต่สำหรับสครีมการเอากฎพวกนี้มาใช้คือการล้อเลียนและ “Challenge” ไปในตัวอย่างที่ภาคแรกทำไว้ ซึ่งภาคนี้ก็ย้อนเอากฎพวกนี้มาเล่นในแบบท้าทายหลอกล่อ “Audience” ให้ลุ้นระทึกตามทุกครั้ง แม้สุดท้ายฉากนั้นจะไม่มีฆาตกรมาไล่เชือด แต่เราก็ยังระทึกกับการที่ “character” ในเรื่องกำลังเดินเข้าไปสู่กฏที่ว่าไว้ได้ทุกครั้ง โดยไม่ใช่แนวตุ้งแช่ทำเสียงตกใจคนดูแบบเสล่อๆ อีกด้วย

นอกเหนือจากนั้นตัว “dialogue” ในเรื่องก็ยังเล่นมุกล้อเสียดสีจิกกัดหนังเรื่องอื่นรัวๆ ทั้งยุคใหม่ยุคเก่า อย่าง บาบาดุค ที่ในเรื่องย้ำว่าดีกว่าสแต็ป เหมือนเป็นการจงใจล้อเลียนเทียบกับตัวเอง หรือแม้แต่  “star wars” ก็ยังไม่เว้น ซึ่งการจิกกัดหนังเรื่องอื่นๆ แบบนี้คือเอกลักษณ์อย่างหนึ่งของสครีมจาก “screenwriter” ดั้งเดิมอย่าง “Kevin Williamson” ดังนั้นถ้าใครตามมุกเหล่านี้ทันก็จะสนุกขบขันไปกับเรื่องนี้ได้มากยิ่งขึ้นอีก

รับชมตัวอย่างหนัง : Scream 5

เว็บรีวิวหนัง

ดูอนิเมะบนมือถือ

สามารถติดตามข่าวสารวงการภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของพวกเรา :FlowtheFlim