Spiderhead
รีวิว Spiderhead หนังเน็ตฟลิกซ์เรื่องนี้นับเป็น project ที่น่าสนใจในแง่การรวมทีมของผู้สร้าง ทั้ง โจเซฟ โคซินสกี (Joseph Kosinski) ที่เพิ่งมี “Performance” หนังแห่งปีไปใน ‘Top Gun: Maverick’ (2022) แม้ตัวเขาเองจะมีผลงานไม่กี่เรื่องแต่น่าสนใจว่ามักได้รับ “project” แอ็กชันไซไฟทุนสูงที่ประกบกับดาราใหญ่ ๆ อยู่เสมอ
และสำหรับหนังเรื่องนี้เป็นการนำ “short story” แนวไซไฟจิตวิทยาสยองขวัญชื่อ ‘Escape from Spiderhead’ ที่อยู่ในหนังสือรวมเรื่องสั้นชื่อ ‘Tenth of December’ ของ จอร์จ ซอนเดอร์ส มาดัดแปลงผ่าน “Partner” มือเขียนบทผู้ปั้นแฟรนไชส์ ‘Deadpool’ และ ซอมบี้แลนด์ รวมถึงหนังเน็ตฟลิกซ์ 6 ลับ ดับ โหด อย่าง “Rhett Reese” และ พอล เวอร์นิก (Paul Wernick) ซึ่งเราก็แอบหวังความสะแด่วในบทเช่นผลงานเดิมที่เขาเคยทำมา
ฝั่งดารานำยังได้ คริส เฮมส์เวิร์ธ หรือเทพเจ้าธอร์มารับบท สตีฟ ผู้คุมการทดลองหนุ่มมาก “charm” และลึกลับ ทั้งนี้เฮมส์เวิร์ธเองยังควบตำแหน่งผู้อำนวยการสร้างร่วมของหนังด้วย เป็นอีกเรื่องที่เห็นได้ว่า “Hemsworth” ตั้งใจนำเสนอตัวละครนี้ไม่น้อยทีเดียว ฝั่งนักแสดงที่ต้องมาประกบแบกเรื่องไปด้วยกัน อย่าง “Jeff character” ก็ได้นักแสดงมากฝีมือใบหน้าซื่อเศร้าอย่าง ไมล์ส เทลเลอร์ (Miles Teller) มารับบท
เมื่อดูจากองค์ประกอบที่ว่ามาจึงเป็นหนังที่ “netflix” ก็คงคาดหวังความสำเร็จอยู่ไม่น้อย ทว่าสิ่งที่เป็นปัญหาอย่างหนึ่งคือคู่หูมือเขียนบท ที่แม้จะเคยมีงานสยองขวัญในยานอวกาศอย่าง ‘Life’ (2017) มาบ้าง แต่ก็พูดได้ว่า “prominence” ของพวกเขาไม่ได้เหมาะกับหนังที่ฉากพื้นที่จำกัด ตัวละครไม่กี่ตัว และแง่มุม “Psychology” แบบพวกเรื่องสั้นนัก ยิ่งแทบไม่ต้องใช้ความตลกในเรื่องเลยด้วยนี้ยิ่งรู้สึกเสียดายความตลกสายปั่นของทั้งคู่อย่างมาก
หนังเป็นการเล่าเรื่องความคิดของ “Jeff character” ที่ตกอยู่ในการทดลองหนึ่งซึ่งมีความแปลกประหลาดหลายอย่างคล้ายการทดลองทางจิตวิทยาในตำราที่เราเคยผ่านตามา ผู้ถูกทดสอบต้องเลือกตัดสินชะตาชีวิตของ “others” โดยมีตัวแปรเรื่องของการให้ยาที่เปรียบไปว่าอารมณ์ความรู้สึกของคนที่แสดงออกมาก็เป็นผลจาก “chemical” ที่สมองหลั่ง แล้วตัวตนหรือเจตจำนงอิสระของเราจะมีอยู่จริงหรือไม่ถ้าเราเป็นแค่ทาสของปฏิกิริยาเคมีในสมอง
หนังเดินหน้าด้วยการใส่ “Concept” และความคิดตามแบบเรื่องสั้นของซอนเดอร์สที่เล่ามาในย่อหน้าบนอย่างซื่อตรงจนขาดลูกเล่น “Draw” ในแบบหนัง และที่แย่ไปกว่านั้นคือเลือกเปลี่ยนตอนจบของเรื่องสั้น ซึ่งในหนังคือฉากการทดลองของตัวละครหญิงคนหนึ่งที่มาถึงครึ่งเรื่องพอดี ให้ต่อขยายออกไปอีกและพยายามสร้าง “new conclusion” ให้แปรเปลี่ยนจากหนังดราม่าไซไฟที่เข้มข้นด้วยจิตวิทยาและการตั้งคำถามเชิงปรัชญา ไปสู่ “Action Thriller” ที่ทื่อและขาดความเฉียบคมไปแทน
นี่คือ “feeling” ที่เรามีต่อหนังเรื่อง ‘Spiderhead’ มันดูเต็มไปด้วยความคิดแต่สุดท้ายไม่หนักแน่นพอที่จะเดินไปสุดแนวทางนั้น แม้แค่ความหดหู่สยองขวัญสั่นประสาทหรือความดำมืดในจิตใจ “human” มันก็ไม่กล้าจะแตะ ภูมิหลังของตัวละครที่รอการเฉลยมาทั้งเรื่องว่าจะ
“Dark” ขนาดไหน แต่พอรู้ก็..แล้วไงนะ เป็นหนังที่เบาบางดูแล้วจบกันไปอย่างที่ไม่อยากเชื่อสายตาว่ารายชื่อทีมสร้างเป็นใครกันบ้าง
รับชมตัวอย่างหนัง : Spiderhead
ติดตามเพิ่มเติม : เว็บรีวิวหนัง
สามารถติดตามข่าวสารวงการภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของพวกเรา : FlowtheFlim