รีวิวThe Desperate Hour

ตัวหนังว่าด้วยเรื่องของ story ของพนักงานเจ้าหน้าที่สรรพากร ‘เอมี คาร์’ (Naomi Watts) และคุณแม่ลูกสอง ที่สูญเสียสามีและพ่อของลูกด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์เกือบจะครบหนึ่งปี

วันหนึ่งเอมีได้เข้าไป jogging ออกกำลังกายในป่าลึก แต่แล้วเธอก็ได้รับแจ้ง bad news ว่า เกิดเหตุกราดยิงในโรงเรียนที่ ‘โนอาร์’ (Colton Gobbo) ลูกชายคนโต และ ‘เอมิลี’ (Sierra Maltby) เรียนอยู่ เอมีจึงต้องออกวิ่งไปยัง school ที่เกิดเหตุ ซึ่งอยู่ห่างออกไปไกลจากป่าหลายไมล์ เพื่อหวังจะช่วยเหลือลูก ๆ ของเธอให้พ้นจากเงื้อมมือของมือปืนที่อาจก่อเหตุได้ทุกเมื่อ โดยมี Telephone เป็นอุปกรณ์เพียงอย่างเดียวที่จะช่วยให้เธอคลี่คลายเหตุสุดระทึกนี้ไปได้

ซึ่งตัวหนังตลอดเกือบ ๆ 84 นาที เราก็จะได้เห็นขุ่นแม่ ‘เอมี คาร์’ อยู่ใน deep forest โดยที่แทบจะไม่ตัดไปซีนอื่นเลย เธอต้องพยายามวิ่งเดินทางออกจากป่าเลกวูด (Lakewood) เพื่อไปช่วยเหลือลูกชาย และมีโทรศัพท์มือถือเป็น Equipment เพียงอย่างเดียวในการเอาตัวรอด รับรู้สถานการณ์ และรับรู้ข้อมูลต่าง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างใน school ตัวหนังในส่วนนี้ก็เลยจะเล่าเสมือนว่าคนดูก็กำลังอยู่ในป่าไปพร้อมกัน และค่อย ๆ ปะติดปะต่อ Information ที่เอมีได้จากการพยายามโทรศัพท์ แชต และสืบค้นหาข้อมูล พร้อมกับความกดดันที่ทวีเพิ่มขึ้นแบบ real time

The Desperate Hour

เอาจริง ๆ หนังเรื่องนี้ก็มีความคล้าย ๆ กับหนังเรื่อง ‘The Call’ (2013) ที่ใช้โทรศัพท์เป็น intermediary ในการเอาตัวรอดจากการโดนลักพาตัวนั่นแหละครับ เพียงแต่ว่าหนังเรื่องนี้ใจกล้ากว่ามากที่พยายามจะเล่นกับ technique ในการนำเสนอผ่านการใช้โทรศัพท์ของเอมี ซึ่งแม้ว่าจะไม่ได้อยู่ใน event

แต่ก็จะต้องค้นหาให้ได้ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้นบ้าง และค้นหา clue เกี่ยวกับเหตุกราดยิง โดยที่แทบจะไม่ตัดให้เห็นเหตุการณ์นอกป่า หรือเหตุการณ์ใน school เลยแม้แต่น้อย ส่วนตัวละครอื่น ๆ ก็จะมาในรูปแบบเสียงหรือข้อความซะเป็นส่วนใหญ่

จุดเด่นของหนังเรื่องนี้ จริง ๆ ก็ถือว่าเป็นหนังที่มี Plot และเข้าใจพล็อตเป็นอย่างดีนะครับ ซึ่ง ‘คริส สปาร์กลิง’ (Chris Sparling) ที่เคยเขียนบทหนังเอาตัวรอด ‘Buried’ (2010) มาก่อน สามารถวางพล็อต และเพิ่มระดับ Pressure ในการเอาตัวรอดของเอมีกับโทรศัพท์หนึ่งเครื่องได้อย่าง Interesting  และมีวิธีการเล่าเรื่องแบบผ่อนหนักผ่อนเบา คือเรียกว่าตั้งแต่ต้นเรื่อง เราก็จะได้เห็นเอมีลงไปวิ่งในป่ากันตั้งแต่เนิ่น ๆ และค่อย ๆ ผ่อน Storytelling ให้ช้าลง สลับกับการเร่งจังหวะในช่วงเหตุการณ์ที่พีกขึ้นได้อย่างน่าติดตาม

The Desperate Hour

อีกจุดที่ถือว่าทำได้ออกมาสนุกก็คือ การประยุกต์ใช้ Function ต่าง ๆ ในโทรศัพท์ออกมาเล่าเรื่องได้อย่างน่าสนใจครับ เราจะได้เห็นเอมีค่อย ๆ เอาตัวรอดจากป่า และค่อย ๆ เอาชนะ Conflict ทีละปม ๆ ด้วยการใช้โทรศัพท์ iPhone โทรหาคนนั้นคนนี้ แชตคุย ใช้แอป ใช้อินเทอร์เน็ตหา information ดูคลิป Live ข่าว ฯลฯ แล้วก็เอาข้อมูลมาปะติดปะต่อ พร้อม ๆ กับการเดินทางในป่าที่แทบไม่มีใครเดินทางผ่านมา ซึ่งผู้เขียนก็แอบ wonder อยู่เหมือนกันว่า ปกติถ้าใช้โทรศัพท์หนักขนาดนั้น แบตเตอรี่ไม่หมดบ้างเลยเหรอ ถ้าเอาตามจริง ใข้หนักขนาดนี้ต้องงัด Power แบงก์มาเสียบชาร์จแล้วนะ (555)

และพอตัวหนังเล่าด้วยพลังของคน ๆ เดียว ก็เลยกลายเป็นว่า leather ถูกผลักให้ต้องใช้ฝีมือการแสดงของ ‘นาโอมิ วัตส์’ (Naomi Watts) ในการแบกหนังทั้งเรื่องแต่ alone

ซึ่งจริง ๆ เธอ (และ iPhone 1 เครื่อง) ก็ทำได้ค่อนข้างดีนะครับ โดยเฉพาะการสะท้อนภาพ Distraction ของแม่ที่มีลูกที่ตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายที่ต้องการเดินทางไปหาลูกที่อยู่ไกลออกไป และโทรศัพท์ก็คือที่พึ่งหนึ่งเดียวที่จะทำให้เธอพอจะทราบ situation ที่กำลังเกิดขึ้นได้ ทำให้หนังในครึ่งแรกเป็นหนังทริลเลอร์ที่ชวนให้ลุ้นจิกเบาะได้เลยแหละ

The Desperate Hour

แต่ปัญหาที่แท้จริงกลับอยู่ที่ครึ่งหลังของหนังครับ แม้ครึ่งแรกจะ Proceeding ได้อย่างสนุก ภายใต้สถานการณ์ที่เริ่มตึงเครียดขึ้นเรื่อย ๆ และสถานการณ์ทั้งในป่า และสถานการณ์ของผู้คนที่เอมีโทรไปขอความช่วยเหลือก็มีแต่จะยิ่งcumbersome วุ่นวายขึ้นทีละนิด แต่สิ่งที่เป็นปัญหาในช่วงครึ่งหลัง กลับมีปัญหา many points ที่ซ้อนทับกันอยู่

ประเด็นแรกก็คือ ประเด็น Shooting โรงเรียนที่หนังเรื่องนี้หยิบมานำเสนอครับ เอาเข้าจริง ประเด็นเรื่องการกราดยิงที่เรามักได้ยินข่าวจาก Shooting นี่ถือว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อนสำหรับพ่อแม่ชาวอเมริกันมากนะครับ

การหยิบเรื่องใหญ่ขนาดนี้มาเล่น ต้องนำเสนอด้วยสารและเรื่องที่ Strong และจริงจังมากพอ แต่ด้วยเทคนิควิธีการของหนังที่พยายามบีบให้คนดูเชื่อวิธีการของเอมีเท่านั้น ทำให้สารที่ปรากฏในหนัง แทนที่จะสะท้อนความน่ากลัว ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากเหตุกราดยิง หรือชี้นำวิธีการ survive ของแม่และเด็ก ฯลฯ

รับชมตัวอย่างหนัง : The Desperate Hour

เว็บรีวิวหนัง

ดูอนิเมะบนมือถือ

สามารถติดตามข่าวสารวงการภาพยนตร์เพิ่มเติมได้ที่เฟสบุ๊คแฟนเพจของพวกเรา :FlowtheFlim