รีวิว The Book of Boba Fett สปินออฟในสปินออฟ
สำหรับ “Dead Fan ของจักรวาล “Star Wars” การมาของซีรีส์ ‘The Book of Boba Fett’ ไม่ใช่แค่เพียงซีรีส์สปินออฟเรื่องใหม่ครับ แต่มันยังมีความหมายอย่างมากในฐานะที่เป็น “spin-off series” ที่หยิบเอาหนึ่งในตัวละครจากจักรวาลหลัก
โดยเฉพาะตัวละครหนึ่งที่เรียกได้ว่ามีสีสัน และเป็นตัวละครที่มี “fan group” ชื่นชอบอยู่เยอะพอสมควร (แม้ว่าจะเป็นตัวร้ายน่ะนะ) ตัวละครที่ว่านั่นก็คือ ‘โบบา เฟตต์’ (Boba Fett) บุตรชายร่างโคลนของ ‘Jango Fett’ (Jango Fett) ใน “Skywalker Saga” นั่นเอง
ในภาพยนตร์ “Boba Fett” นักล่าค่าหัวของฝั่ง “empire” สิ้นชื่อไปแล้ว เพราะว่าพลัดตกลงไปในหลุมสัตว์ประหลาดที่มีชื่อว่า ‘ซาแล็ก’ (Sarlacc) ใน ‘Star Wars: Episode VI – Return of the Jedi’ (1983) แต่ในเชิงของเรื่องราวและ “Theory” การรอดตายออกมาจากตัวซาแล็กของ “Boba Fett” นั้นถูกพูดถึงในหมู่แฟน ๆ มานานแล้วว่า
ในที่สุด นักล่าค่าหัวยอดฝีมือคนนี้จะต้องรอดออกมาจากตัว “Salec” ได้แน่นอน ถ้าเอาตามทฤษฏี ก็มีความเป็นไปได้อยู่ เพราะจับบาบอกผ่านซีทรีพีโอ (C-3PO) ไว้ในหนังเองว่า ตัวซาแล็กใช้เวลาเป็นพัน ๆ ปีใน “digest”
จุดนี้แหละที่ทำให้แฟน ๆ ต่างสร้าง “different theories” นานาเพื่ออธิบายว่า “Boba Fett” จะเอาชีวิตรอดออกมายังไงได้บ้าง รวมทั้งมีการเรียกร้องให้มีการสร้าง “Story” ที่เป็นทางการขึ้นมาเสียที ตอนแรกมีแผนว่าจะกลายมาเป็นภาพยนตร์ แต่แล้วก็พับแผนไป จนกระทั่งการมาของ Disney+ ที่ทำให้ความฝันของ “fans” กลายเป็นจริงได้ในที่สุดในซีรีส์ ‘The Book of Boba Fett’ หรือ ‘คัมภีร์แห่งโบบาเฟตต์’
โดยรวม ตัวซีรีส์เองก็ยังคงใช้ “one way” กับที่เคยทำกับซีรีส์ ‘The Mandalorian’ ทั้ง 2 ซีซัน ทั้งในแง่บท โปรดักชัน และวิธีการเล่าเรื่อง ซึ่งก็ต้องเปรย ๆ ไว้ก่อนนะครับว่า จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องดู ‘The Mandalorian’ โดยเฉพาะใน “Season” 2มาก่อน เพราะว่าในนั้นมีเรื่องราวของ “Boba Fett” ที่ถูกเล่าไปแล้วบางส่วน หากใครที่โพล่งมาดูก่อน
หรือดูแล้วแต่จำไม่ได้ (แบบผู้เขียน (555) ก็อาจจะมีงง ๆ และอาจจะ “Unguarded” คิดไปเองได้ว่า ตัวซีรีส์มี “Plot Hole” ที่เชื่อมเรื่องราวได้ไม่สมบูรณ์นัก หากจะมองในฐานะของซีรีส์เรื่องนี้แบบ “individually” ผู้เขียนเองมองว่า เนื้อเรื่องถือว่าไม่ปราณีปราศรัยสำหรับคนที่ไม่ใช่แฟน “Star Wars” นะครับ เพราะในซีรีส์จะไม่มี “Flashback” ให้ดูย้อนเสียด้วยสิ แถมยังมีตัวละครที่มาจากแอนิเมชันในจักรวาลมาโผล่เป็น “Life Action” เป็นครัั้งแรกอยู่หลายตัวอีกด้วย
ด้วยความที่ “Concept” เรื่องราวของ ‘คัมภีร์แห่งโบบาเฟตต์’ นั้น ถูกวางไว้เป็นสองเส้นเรื่อง ทั้งเรื่องการรำลึกการผจญภัยของโบบา เฟตต์ในอดีต ตั้งแต่การเอาตัวรอดออกมาจากตัว “Salec” เอาตัวรอดบนดาวทาทูอีน ลบภาพนักล่าค่าหัวทิ้งไป ตัดสลับกับช่วงเวลาปัจจุบัน ที่เล่าด้วยท่าทีและ “inspiration” ที่ชัดเจนว่าหยิบยืมมาจากหนังมาเฟียสไตล์ ‘The Godfather’ ที่ตอนนี้ โบบา เฟตต์ ในฐานะ “Daimyo” หรือผู้ปกครองแห่งเขตมอส
เอสปา (Mos Espa) และมือขวาจอมสังหารอย่าง ‘เฟนเนก แชน’ (Ming-Na Wen) ต้องหากลวิธีร่วมมือถ่วงดุล “power” และป้องกันแก๊งไพก์ (Pykes) ที่กำลังจะรุกเข้ามาทำการค้าสไปซ์ หรือผงสารเสพติดบน “Tatooine star” นั่นก็เลยทำให้ใน 3 บทแรกนั้นมีอาการเดินเครื่องอืดไปหน่อย และยิ่งเทียบกับ ‘The Mandalorian’ ก็ยิ่งเห็นชัดเลยว่าเรื่องนั้นมี “Plot”
และการดำเนินเรื่องที่เรียบง่ายและตรงตัวกว่าเรื่องนี้จริง ๆคือในแง่ของการได้ “discover” ชีวิตของ “Boba Fett” ที่แฟน ๆ รอคอยมาแสนนานนั้นก็ถือว่าสนุกและตื่นเต้นใช้ได้นะครับ โดยเฉพาะเวลาที่อยู่กับ “Tusken Tribe” ที่จะมีแอ็กชันให้ดูเยอะหน่อย แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้อีกแหละว่า
มันไปถ่วงให้พาร์ตการเมืองในฐานะเจ้าพ่อ (ไดเมียว) ที่อาจจะมีแอ็กชันอยู่บ้าง แต่ก็เน้นนั่งโต๊ะเจรจาเป็น “mostly” ดูดรอปและมีรายละเอียดให้ติดตามน้อยไปสักหน่อย จนกระทั่งในบทที่ 5 และ 6 นี่แหละครับ ที่ “fun graph” ค่อย ๆ ไต่ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เพราะนอกจากจะมี “action scene” มากขึ้นกว่าเดิม (เพราะเล่าเรื่องอดีตของเฟตต์จบไปแล้ว
สิ่งที่เป็นความสนุกสำหรับแฟน ๆ Star Wars ก็เห็นจะเป็น “Easter Egg” ต่าง ๆ ทั้งคน “Event” สถานที่ ที่ล้วนแล้วเคยผ่านตาเรื่องราวทั้งจากใน “Movies” ซีรีส์ แอนิเมชัน คอมิก (หรือแม้แต่แฟนเมด) ในจักรวาลสตาร์ วอร์ส อยู่เต็มไปหมด
ชนิดที่เรียกว่าน่าจะเป็น “Easter Egg” และ surprise (คน ๆ นั้นแหละ) ที่ทั้งมีเส้นเรื่องเป็นของตัวเอง และเส้นเรื่องก็จะมาบรรจบกับเส้นเรื่องหลักได้ในที่สุด และจะว่าไป มันก็ทำให้ซีรีส์เรื่องนี้มี “position” กลายเป็นสปินออฟ (Spin Off) ของซีรีส์ ‘The Mandalorian’ ได้อยู่เหมือนกันนะครับ
รับชมตัวอย่างหนัง : The Book of Boba Fett สปินออฟในสปินออฟ