รีวิว The Unbearable Weight of Massive Talent
หนังเปิดมาได้อย่าง “interesting” ด้วยสภาพที่จมไม่ลงและพยายามอย่างเอาเป็นเอาตายของพระเอกในการได้กลับมาเล่นหนังสักเรื่องหนึ่ง ท่ามกลางมรสุมของความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ต่อไม่ติดกับ “ex-wife” และลูกสาววัยรุ่นที่ปฏิเสธการอยู่ใต้ร่มเงาของพ่อที่เป็น “legend” จนเขาต้องตัดใจว่ามันคงหมดยุคของเขาแล้วจริง ๆ ด้วยการยอมรับงานโชว์ตัววันเกิดเช่นเดียวกับพวกดาราตกอับเพื่อเอาเงินมาใช้หนี้ แล้วจะประกาศเกษียณจากอาชีพนักแสดงไป “forever”
แต่โชคชะตาก็ “Prank” กับเขาเพราะนายจ้างคนล่าสุดนั้นดันเป็นแฟนคลับเดนตายที่ต้องการเปลี่ยนใจให้เขามาแสดงหนังที่ตนเองเขียนบทรอไว้ให้ได้ ซึ่งถึงช่วงเวลานี้ของหนังต้องบอกว่ามีลูกเล่นและท่าทีรวมถึง “dialogue” ที่คมคาย เป็นงานคราฟต์โบรแมนซ์ที่ดีมาก ๆ ทีเดียว
ใครที่ “follow” ข่าวตัวหนังมาระดับหนึ่งคงไม่ได้ “expect” จะเห็นฉากบู๊สะบั้นแบบงานของ นิโคลัส เคจ (Nicolas Cage) ในยุคพีค ๆ หรืองานเกรดบีเอามันเช่นในช่วงหลัง เพราะหนังเรื่องนี้เป็นงาน “Drama” ตลกร้ายที่จิกกัดเสียดสีชีวิตในเส้นทางการแสดงหลายสิบปีของเคจมากเสียกว่า แค่เปิดเรื่องมาก็แทบจะ “explain” สิ้นสงสัยแล้วว่าทำไมช่วงหลังแกรับงานหนังไม่เลือกเกรดเสียขนาดนั้น จะบอกว่าเป็นงานที่ใกล้เคียง ‘Adaptation.’ (2002) ที่เคจรับบทเป็น “twins” ในแบบที่ไม่หนักข้อและเข้าถึงได้ง่ายกว่าก็ว่าได้
และคงต้องระลึกอยู่เสมอตลอด “viewing” ว่าเคจในเรื่องนี้ก็ไม่ใช่เคจที่เป็นนักแสดงในโลกความจริงที่เรารู้จัก แต่เป็นเหมือนตัวตนในอีก “multiverse” ที่แตกแขนงออกจากตัวจริงมามากกว่า
โดยเรื่องนี้มีจุดเริ่มต้นจาก ‘บทหนัง’ ที่ถูกจับตามองและยังไม่ถูกนำมาสร้างของ “Hollywood” อาจด้วยเหตุผลของความยากในการผลิตหรือปัญหาอื่น ๆ ที่คนในวงการรู้จักดีว่าเป็นกลุ่ม “blacklist” ซึ่งในปี 2019 โปรเจกต์หนังของผู้กำกับ ทอม กอร์ไมแคน (Tom Gormican) ที่เคยมี “performance” หนังโรแมนติกคอมเมดี้ 3 เพื่อนซี้ไม่อยากโสดเรื่อง ‘That Awkward Moment’ (2014) และมือเขียนบท เควิน เอตเทน (Kevin Etten) เรื่องนี้ก็ได้รับการชื่นชมให้เป็น “blacklist”ของปีนั้นเช่นกัน
พล็อตของหนังมีความสร้างสรรค์สูงและมีหน้าหนังที่ขายได้อย่างแน่นอนด้วย “capital” ที่ไม่ต้องสูงนักเพราะเน้นชูความคลั่งไคล้ในดาราไอคอนของหนังยุคหนึ่งอย่างเคจที่มีฐาน “fan club” มาหลายรุ่น (เพราะแกมีหนังออกมาตลอด) โดยให้นักแสดงได้เล่นเป็น “fictional character” ที่เป็นตัวเองอีกที ซึ่งปัญหาเดียวคือถ้าเคจไม่รับเล่นหนังเรื่องนี้ก็จะไม่มีทางเกิดขึ้นมาได้ และทำให้ “movie script” เรื่องนี้ค้างเติ่งไม่ถูกสร้างมาหลายปี ซึ่งสำหรับเคจด้วย “content” ที่พูดถึงการเป็นตัวเขาเองมันก็สุ่มเสี่ยงที่หากไปอยู่ในมือผู้สร้างที่ไม่เคารพเขา ก็อาจทำให้ “movie show” เรื่องที่ 100 ของเขานั้นเป็นตราบาปไปชั่วชีวิตเลยก็ได้
สิ่งที่ต้องชื่นชมสำหรับเรื่องนี้นอกไปจาก “presentation” และการแสดงที่ล้อตัวเองของเคจ คือการแสดงของ เปโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) ในบทฮาวีที่ทั้งอ่อนไหวและดุดัน มีมิติหลายชั้นที่ทำคนดูรู้สึก “binding” ไปด้วยอย่างประหลาด ช่วงการสานสัมพันธ์ของชาย 2 คนที่ต่างกันทั้งที่มาและ “attitude” จึงสวยงาม น่าขันและละมุนอย่างที่สุด
มันจึงคล้ายสถานะของการพยายามพาหนังให้จบลงเป็น “parcel” ส่งถึงผู้ชมให้ได้ โดยเชื่อว่าคุณค่าของสินค้าภายในจะแข็งแรงพอให้คนดูพอใจ และหวังเอาว่าคนดูจะ “overlook” วัสดุรองกันกระแทกและลังกระดาษธรรมดา ๆ ที่เอามาเป็นกล่องภายนอกสุดไปได้ แน่นอนว่า “value” ของเคจที่เป็นแก่นกลางนั้นยังคงไม่ลดทอนไปแน่ ๆ แต่ในฐานะหนังเรื่องหนึ่งนอกจากธีมของเคจกับ “show” ของปาสคาลแล้ว เราก็แทบไม่มีอะไรให้อยากเก็บกลับเข้าบ้านไปด้วยเลย
รับชมตัวอย่างหนัง : The Unbearable Weight of Massive Talent